บอกเล่าการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากไอทีสู่การเป็นนักเรียนแพทย์ Deakin University
บทสัมภาษณ์ของนักเรียนแพทย์ Deakin University ทั้งสามคนที่ผันตัวจากการประกอบอาชีพในสายไอที และไม่เคยเรียนด้านการแพทย์มาก่อน
บางครั้งมักจะมีช่วงเวลาที่คิดว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่ได้ทำงานในสายงานที่เราทำอยู่ หรือเกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่ใช่ตัวเราจริงๆ หรือไม่
คำถามเหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้นกับนักเรียนแพทย์ทั้ง 3 คนใน Deakin University ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งต่างก็เรียนมาในสายไอทีและธุรกิจ อีกทั้งยังทำงานในสายไอทีหลังเรียนจบ เราจะมาอ่านบทสัมภาษณ์บอกเล่าแนวคิดและประสบการณ์การตัดสินใจเปลี่ยนสายอาชีพของพวกเขากัน
Chris Culhane – จากวิศวกรสู่การเป็นหมอ
คนแรกที่เราจะพามาทำความรู้จักคือคุณ Chris Culhane ก่อนหน้านี้ Culhane เองก็เคยมีความคิดที่อยากทำงานเป็นหมอในช่วงมัธยม แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยเขาก็ตัดสินใจเรียน Bachelor of Science และ Bachelor of Engineering แทน
ชีวิตหลังเรียนจบเขาได้ทำงานในตำแหน่งวิศวกรออกแบบในบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งทำให้เขาได้มีประสบการณ์ออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดกระดูกด้วย
หลังจากทำงานมา 2 ปี Culhane ได้ตัดสินใจหยุดพักและออกเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ของเขาจากลอสแองเจลิสลงมาถึงอเมริกาใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน
ในช่วงที่ได้ออกเดินทางนี้เองทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขาอาจจะไม่มีความสุขถ้ายังคงทำงานเดิมที่เขายังทำอยู่นี้ นั่นทำให้เขากลับมาบ้านและเริ่มสมัครเข้าร่วมโปรแกรม GAMSAT (โปรแกรมสำหรับประเมินนักเรียนที่มีความสามารถและคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในคอร์สวิชาชีพทางการแพทย์และสุขภาพ)
คุณ Culhane ได้บอกว่าอยากเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ซึ่งมีความน่าสนใจจากลักษณะการทำงานที่รวดเร็วเพราะต้องมีการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรงและต้องมีความรวดเร็วในการทำงาน อีกทั้งยังได้เจอกับเคสที่หลากหลาย
Lee Robbins – จาก MBA สู่ MD
คนต่อไปคือคุณ Lee Robbins เรียนจบหลักสูตร Bachelor of Business Systems และได้ทำงานฝ่ายเทคโนโลยีจากการควบรวมกิจการของกองทุนบำนาญ กับฝ่ายบริหารและธนาคารรายย่อย
ต่อมาเขาได้ศึกษาต่อปริญญาโทหลักสูตร MBA ระหว่างนั้นได้ทำงานเกี่ยวกับการจัดการผลิตภัณฑ์กับบริษัทที่จัดหาซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรมการดูแลผู้สูงอายุและชุมชน จากนั้นจึงย้ายไปทำงานกับผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
แม้คุณ Robbins จะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในระดับหนึ่งแล้ว แต่เขากลับคิดถึงสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าการประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและการเลื่อนตำแหน่ง
สิ่งที่ทำให้เขากลับมาฉุกคิดในเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาพบเจอ เช่น การที่ลูกชายวัยทารกของเขาเกิดอาการช็อก และอาการป่วยของปู่เขาเอง
วันหนึ่งขณะที่คุณ Robbins ไปเยี่ยมปู่ที่โรงพยาบาล เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหมอและนั่นเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ
คุณ Robbins ให้สัมภาษณ์ว่าทักษะการเจรจาต่อรอง การสื่อสาร และการวิเคราะห์ที่เขาได้เรียนจากหลักสูตรการจัดการธุรกิจนั้นสามารถนำมาปรับใช้กับการสื่อสารกับผู้ป่วยได้
นอกจากนั้นทักษะการแก้ปัญหายังมีประโยชน์สำหรับการพยายามทำความเข้าใจระบบของร่างกายที่มีความเฉพาะเจาะจง และการแยกแยะพยาธิวิทยาพื้นฐาน
คุณ Robbins แนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงานจากไอทีสู่การเป็นแพทย์นั้นคือการตระหนักไว้เสมอว่าสิ่งที่คุณต้องการทำนั้นเป็นไปได้ เหมือนที่เขาเองก็สามารถทำได้
Scott Anderson – จากนักพัฒนาซอฟต์แวร์สู่การเรียนแพทย์
คนสุดท้ายคือคุณ Scott Anderson ที่ออกมาทำงานด้านไอทีตั้งแต่เขายังเรียนอยู่มัธยม และนั่นก็ทำให้เขาออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อทำงาน
แม้เส้นทางอาชีพทางการแพทย์สำหรับผู้ที่เรียนไม่จบระดับมัธยมจะดูเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม แต่หลังจากทำงานสายไอทีมา 15 ปี คุณ Anderson ได้เริ่มมองหาสิ่งใหม่ๆ เมื่องานไอทีไม่สามารถให้สิ่งที่เขาต้องการได้
คุณ Anderson เห็นจุดร่วมของงานที่เขาทำอยู่กับงานที่แพทย์ทำ นั่นคือการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคด้วยระบบที่ไม่สามารถเข้าใจได้สมบูรณ์ ความแตกต่างคือเขารู้สึกชอบการได้รักษาสุขภาพของผู้คน
นั่นทำให้คุณ Anderson ในวัย 30 ปีเปลี่ยนใจจากงานไอทีสู่การเป็นนักเรียนแพทย์ แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้างมีความท้าทายด้วยความรับผิดชอบต่อครอบครัว การปรับตัวให้เข้ากับนักเรียนแพทย์คนอื่นๆ และจุดร่วมการทำงานที่เขากล่าวไปก่อนหน้าค่อนข้างมีอุปสรรคเล็กน้อย เพราะเขาต้องปรับวิธีการเรียนรู้มาสู่วิธีใหม่ที่มีความสอดคล้องกับอาชีพแพทย์มากกว่า
อย่างไรก็ตามคุณ Anderson เขาคิดถูกที่เปลี่ยนสายอาชีพและมีสาขาเฉพาะทางมากมายที่เขาสนใจอยากเรียนต่อ
คุณ Anderson ได้ให้คำแนะนำไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนแพทย์ว่าให้ทำความรู้จักกับตัวเองก่อน ยิ่งรู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณคืออะไรยิ่งช่วยให้คุณมีความพร้อมในสิ่งที่จะทำมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ถ้ารู้ได้ว่าสิ่งที่เป็นขับเคลื่อนให้คุณนั้นคืออะไรจะช่วยให้คุณก้าวผ่านเมื่อเจออุปสรรคได้
Source : Deakin University