Beyond Study Center เราให้คำปรึกษาการศึกษาต่อทุกระดับ สมัครเรียน ทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน ดูแลตลอดการเดินทาง

บทสัมภาษณ์คุณเชอรี่กับประสบการณ์ทำงานเป็นอาจารย์ใน Charles Darwin University และการใช้ชีวิตในเมืองดาร์วิน

Charles Darwin University

     พูดคุยกับคุณเชอรี่ หรือ ดร.นฤมล อาจารย์คนไทยที่ปัจจุบันกำลังสอนอยู่ในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัย Charles Darwin University (CDU)

     หลายๆ คนที่ได้ไปทำงานในออสเตรเลียอาจจะได้ทราบมาบ้างว่าการหางานในออสเตรเลียค่อนข้างยาก แต่การหางานแบบ professional นั้นยากยิ่งกว่า แต่ในบทความนี้เราได้นำบทสัมภาษณ์ของอาจารย์เชอรี่ ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Charles Darwin University  มาให้อ่านกัน

     บทสัมภาษณ์นี้ถือว่าน่าสนใจมากๆ นอกจากอาจารย์เชอรี่จะมาแชร์ประสบการณ์และให้ความรู้ต่างๆ แล้ว CDU ยังเป็นมหาวิทยาลัยในเขต Regional ซึ่งมีทุนการศึกษาให้นักเรียนต่างชาติทั้งทุน Study in Australia’s NT scholarships, ทุน Destination Australia และยังมีทุนของทางมหาวิทยาลัยเองอีกด้วย เปิดโอกาสให้นักเรียนไทยได้มาศึกษาต่อยังออสเตรเลียมากขึ้น

     Thaiwahclub : สวัสดีค่ะ รบกวนอาจารย์แนะนำตัวก่อนนะคะ 

     สวัสดีค่ะ ดร.นฤมล ศรีรัตนวิริยะกุล หรือเชอรี่ค่ะ ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin University) คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ใน College of Engineering, IT and Environment วิทยาเขต Casuarina ที่รัฐนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี่ ประเทศออสเตรเลีย มีหน้าที่สอนนักศึกษาตั้งแต่ชั้นปริญญาตรีถึงปริญญาเอกค่ะ 

     Thaiwahclub : ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยทำงานอะไรที่ไทยมาก่อนบ้างเหรอคะ

     จริงๆแล้วตั้งแต่เล็กเลยก็อยากเป็นครูมาตลอดเลยค่ะ ตอนเด็กๆจะบังคับน้องๆ ให้นั่งเป็นนักเรียน เกณฑ์เด็กๆ แถวบ้านมานั่ง แล้วสอนภาษาอังกฤษบ้าง สอนพับกระดาษบ้าง จนมาเริ่มสอนเปียโนตอนวันเสาร์-อาทิตย์ที่โรงเรียนสยามกลการแถวบ้านและโรงเรียนดนตรีเสธินันท์ค่ะ 

     ส่วนอาชีพแรกที่ทำประจำเลยคือเป็นเลขากลุ่มให้กับบริษัทโฆษณา Chuo Senko (Thailand) ค่ะ  ตอนนั้นเพิ่งจบ High School ที่รัฐอิลลินอยส์จากการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการเอเอฟเอส ประเทศอเมริกาค่ะ 

     ตอนนั้นเห็นเพื่อนๆชาวอเมริกันทุกคนทำงาน ก็เลยอยากทำบ้างและยังไม่ยอมเรียนต่อเพราะเห็นว่าเสียเวลาทำมาหากิน (หัวเราะ) แต่ทำได้แค่หกเดือนก็เริ่มเห็นคล้อยตามที่คุณพ่อคุณแม่แนะนำว่ายังเด็กเกินไป (อายุ 18 ปี) ถ้าทำงานไปเรื่อยๆ การเรียนต่อก็จะยากขึ้น เลยเลือกศึกษาต่อที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะการบริหารอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวค่ะ

     ตอนเรียนปีสุดท้ายก็ได้ไปทำงานเป็น Marketing Coordinator ที่ Pacific Leisure (Thailand) ที่นั่นก็ได้เรียนรู้วิธีการโปรโมทการท่องเที่ยวต่างๆ เพราะบริษัทเป็นสำนักงานการท่องเที่ยวของรัฐบาลมาเก๊า เป็นตัวแทนจำหน่ายเรือสำราญ Royal Caribbean และ Celebrity Cruises และอีกหลายๆอย่าง 

     เจ้านายตอนนั้นเนี่ยก็เป็นคนออสเตรเลีย มีอัธยาศัยดีแล้วก็น่ารักมาก ก็เริ่มฝังใจกับการทำงานร่วมกับคนออสเตรเลีย ต่อมาก็ไปเป็นตัวแทนทางวัฒนธรรมประเทศไทยที่ Walt Disney World Resort ที่ออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้าเมื่อปี 2000-2001 ด้วยความชื่นชอบตัวละครในดิสนีย์และสนุกกับการเล่นกับเด็กๆค่ะ 

     ต่อมาระหว่างที่เรียนปริญญาโท ทางด้านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มหาวิยาลัยอัสสัมชัญ ก็ได้เริ่มทำงานที่บริษัทที่เป็นผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตเคเอสซีค่ะ ได้เรียนรู้วิธีการบริหารทีมขาย Corporate และติดต่อประสานงานต่าง ๆ 

     จนกระทั่งพอจบปริญญาโทแล้วก็ลองไปสมัครเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะที่เราจบมานั่นแหละค่ะ สอนที่มหิดลได้สามปี ก็เริ่มอยากทดลองสอนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศดูบ้าง เลยไปสมัครสอนที่มหาวิทยาลัย Royal Melbourne Institute of Technology (RMIT) วิทยาเขตเวียดนามดูค่ะ เพราะตอนนั้นยังไม่เคยไปเวียดนาม ก็นึกว่าจะได้ไปทำงานไปด้วย เที่ยวไปด้วยค่ะ จนต่อมาก็ค่อยย้ายมาสอนที่มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วินที่ประเทศออสเตรเลียค่ะ

     Thaiwahclub : อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อาจารย์ได้มาอาศัยอยู่ในออสเตรเลียคะ

     ตอนที่สอนที่ RMIT ก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานในระบบการศึกษาของออสเตรเลียค่ะ แล้วก็พอดีตอนนั้นมีอาจารย์ท่านนึงจากมหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วิน (ซึ่งต่อมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกของเชอรี่) มาทำ Sabbatical Leave หนึ่งเทอมที่แคมปัสค่ะ 

     คือระบบการทำงานของมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียคือเมื่อทำงานไปสักพัก มหาวิทยาลัยก็จะให้ไปทำวิจัย หรือไปสอนที่มหาวิทยาลัยอื่นเป็นเวลาหนึ่งเทอม เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันน่ะค่ะ 

     ทีนี้เชอรี่ก็ทำวิจัยทางด้านที่อาจารย์ท่านนี้เชี่ยวชาญพอดีค่ะ ท่านก็เลยแนะนำให้ลองขอทุนศึกษาต่อปริญญาเอกจากที่มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วินดู เพราะที่รัฐบาลออสเตรเลียค่อนข้างสนับสนุนให้นักศึกษาต่างชาติมาเรียนที่เมืองดาร์วินหรือรัฐนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี่มากขึ้นด้วยค่ะ (เพื่อกระจายความเจริญ) 

     พอลองขอดูก็ปรากฏว่าได้จริงๆ ค่ะเป็นทุน Prestigious International Research Training Scholarship (PIRTS) ค่ะ เพราะว่าเชอรี่ต้องการสอนที่ RMIT ไปด้วยแล้วก็ทำวิทยานิพนธ์ไปด้วย เพื่อที่รายได้จะแน่นอนกว่าค่ะ 

     ก็เลยใช้เวลาสองปีแรกลงทะเบียนในฐานะ External Student แล้วปีสุดท้ายก็ค่อยย้ายไปสอนที่ Charles Darwin University โดยการทำงานเป็น Casual Lecturer เพราะตอนที่อยู่ RMIT ก็เป็น Senior Lecturer อยู่แล้วค่ะ (Casual Work คือการทำงานตามจำนวนชั่วโมงแล้วแต่สัญญาค่ะ จะแตกต่างจากการทำงานพาร์ทไทม์หรือทำงานประจำ) แล้วก็รอผลจากคณะกรรมการ External Examiner ไปด้วยค่ะ

1574996875307

     Thaiwahclub : ช่วยเล่าถึงการเริ่มต้นทำงานเป็นอาจารย์ที่ Charles Darwin University สักหน่อยค่ะ

     ด้วยการเริ่มต้นเป็นนักศึกษาปริญญาเอกปีสุดท้าย พอที่คณะมีงาน Lecturer หรือ Tutor พวกท่านก็จะเมตตาส่งมาให้เชอรี่ตลอด เนื่องจากเรามีประสบการณ์การสอนอยู่แล้วและก็เพื่อให้เป็นรายได้พิเศษด้วยน่ะค่ะ เพราะว่าเวลาทำวิทยานิพนธ์จะต้องใช้เวลาในการอ่านและเขียน รายได้จากการสอนจะมากกว่าการทำงานอย่างอื่น จะได้ไม่จำเป็นต้องไปหางานอย่างอื่นทำไปด้วยค่ะ 

     แล้วก็ในชั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วิน ถ้ามีนักศึกษามากกว่า 30 คน อาจารย์ก็จะมีสิทธิ์จ้าง Tutor เพื่อให้มาช่วยในการเตรียมการสอน ช่วยตรวจการบ้านของนักศึกษา และก็ตอบอีเมลนักศึกษาด้วยค่ะ ที่นี้บางทีเห็นนักศึกษาบางคนทำงาน 3 job เลยทีเดียว ไม่ทราบว่าเอาเวลาไหนไปนอน 

     ระหว่างนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาท่านที่สองก็ย้ายไปสอนที่ประเทศจีนหลังจากเชอรี่ไปเรียน/สอน ได้หนึ่งเทอมค่ะ (ตอนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก จำเป็นจะต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษา 3 ท่านค่ะ) ก็เลยมีตำแหน่งว่างไล่เลี่ยกับเวลาที่เชอรี่เรียนจบค่ะ เพราะฉะนั้นพอเรียนจบปุ๊บก็เลยสมัครเป็นอาจารย์ประจำเลยค่ะ

     Thaiwahclub : Charles Darwin University มีจุดเด่นยังไงบ้าง ทำไมถึงควรเลือกมาเรียนที่นี่คะ

     จุดเด่นของมหาวิทยาลัยก็คือจำนวนนักศึกษาต่อชั้นเรียนซึ่งค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นในประเทศออสเตรเลียค่ะ โดยจำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15-20 คนเท่านั้นต่ออาจารย์ 1 ท่าน ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้นั้นเป็นกันเองทั้งกับผู้เรียนและผู้สอน นักศึกษาส่วนใหญ่จะค่อนข้างสนิทกันและช่วยเหลือกันทั้งในและนอกห้องเรียน  

     นอกจากนี้หลักสูตรการสอนทั้งหมดก็ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นหลักสูตรการเรียนการสอนทางไอทีก็ได้รับการรับรองจาก Australian Computer Association (ACS) หลักสูตรของคณะวิศวกรรมก็ได้รับการรับรองจาก Engineers Australia และ European Network of Engineering Education ทำให้นักศึกษาที่เรียนจบจากหลักสูตรแล้วเป็นที่ยอมรับไม่เฉพาะแค่ในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย จากมาตรฐานทางด้านการเรียนการสอน 

     เนื่องจากจำนวนนักศึกษาที่ไม่มากนัก (โดยสาเหตุหนึ่งคือนักศึกษาเลือกจะไปศึกษาต่อที่เมืองใหญ่ ๆ) ทำให้นักศึกษาสามารถนัดเวลาเพื่อปรึกษาปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษาได้ง่ายขึ้นค่ะ

     ทางรัฐบาลออสเตรเลียและบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศก็เป็นส่วนร่วมในการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการจ้างงาน การฝึกงาน การทำโปรเจคเกี่ยวกับไอทีที่มาจากความต้องการของทางท้องถิ่นในรัฐ การแข่งขันสำหรับนักศึกษา และโอกาสในการแลกเปลี่ยนกับสถาบันอื่น ๆ ในเครือด้วยค่ะ

     โดยจากการจัดอันดับของ Good University Guide ในปี ค.ศ. 2020 มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วินก็ได้อันดับที่ 1 จาก 39 มหาวิทยาลัย ที่ได้รับเงินค่าตอบแทนจากการทำงานสูงที่สุดในประเทศ (Graduate Salary) 

     และได้อันดับที่ 2 ของประเทศ ที่นักศึกษาประสบความสำเร็จจากการหางานหลังจากเรียนจบ (Graduate Employment Rate) โดย 83 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษานั้น ได้รับการจ้างงานในลักษณะงานประจำ (Full-time Job) ภายในเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว

     นอกจากนั้น จากการจัดอันดับของ Times Higher Education มหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วินก็เป็นมหาวิทยาลัยใหม่ (ที่เริ่มเปิดทำการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา) ที่ได้รับอันดับที่ 91 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในบริเวณเอเชีย-แปซิฟิค ซึ่งคัดเลือกจากจำนวน 250 มหาวิทยาลัยจาก 13 ประเทศ) 

     โดยงานวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศของมหาวิทยาลัยชาลส์ ดาร์วินก็เพิ่งได้รับรางวัล Excellence in Research Assessment (ERA) จาก Australian Research Council (ARC) โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานการวิจัยระดับโลก (World-class)

1574996892579

     Thaiwahclub : คณะสาขาที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ในปัจจุบันมีเนื้อหายังไง / เกี่ยวกับอะไรบ้างเหรอคะ

     คณะที่เชอรี่สอนคือ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ค่ะ โดยแบ่งเป็นส่วนของ Undergraduate กับ Postgraduate นะคะ

     Undergraduate เนี่ยจะมีทั้งปริญญาตรี (หลักสูตร 3 ปี) ประกาศนียบัตรทั้งในแบบ Associate Degree (หลักสูตร 2 ปี) และ Diploma (หลักสูตร 1 ปี) 

     สาขาวิชาก็จะมีทั้ง Network Engineering โดยลักษณะการทำงานก็จะเป็นการดูแลระบบ Network เพื่อให้ใช้งานได้ตามปรกติทั้งความรวดเร็ว ความถูกต้อง ความปลอดภัยของระบบเป็นต้น  

     Information and Communication Technology ก็จะศึกษาเกี่ยวกับระบบการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยจะเรียนรู้ทั้งทางด้าน Network การเก็บรักษาข้อมูลและ Database การออกแบบและเขียน     โปรแกรม การวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์นะคะ 

     ส่วน Computer Science จะมีพวกเลขและสถิติมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะในหลักสูตรจะเน้นทางด้านการวิเคราะห์ค่ะ ถ้าใครเก่งเลขก็จะแนะนำด้านนี้นะคะ 

     Digital Enterprise จะเป็นกึ่งธุรกิจ กึ่งไอทีค่ะ โดยนักศึกษาจะได้เรียนรู้แนวคิดทางด้านการบริหารธุรกิจเช่น การตลาด เศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ทักษะเบื้องต้นในการใช้ไอทีเพื่อให้เป็นประโยชน์ในเชิงธุรกิจค่ะ

     Information Technology จะเป็นเหมือนยำเลยค่ะ เรียนทุกอย่างที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และจะเป็นโปรแกรมที่นักศึกษาลงเรียนมากที่สุดด้วยค่ะ เพราะสามารถต่อยอดไปได้หลายด้าน

     ส่วนในระดับ Postgraduate ก็จะมีทั้งแบบคอร์สเวิร์คหรือวิจัยนะคะ สมมติว่าถ้าใครอยากจะเรียนจนจบปริญญาเอกก็ควรจะลงเรียนแบบทำวิจัยค่ะ ส่วนหลักสูตรก็จะมีทั้งแบบปริญญาโท (หลักสูตร 2 ปี) หรือประกาศนียบัตรทั้งแบบ Graduate Diploma (หลักสูตร 1 ปี) หรือ Graduate Certificate (หลักสูตร 1 ปี โดยศึกษาแบบนอกเวลาเท่านั้น)

     สาขาวิชาในระดับ Postgraduate จะมีความเฉพาะเจาะจงลงไปเพื่อให้เหมาะสม เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานหรือเทียบเท่าระดับวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทำงานของ Australian Computer Society (ACS) ในกรณีที่ต้องการสมัครวีซ่าสำหรับการย้ายถิ่นที่อยู่ (Migration purpose) ภายหลังค่ะ 

     Data Science จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล หาแบบแผนของข้อมูลหรือทำให้การอ่าน และเข้าใจข้อมูลนั้นง่ายขึ้นเพื่อที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ภายหลังค่ะ 

     Information Systems and Data Science จะเป็นการเรียนรู้การใช้งานระบบสารสนเทศในการประกอบการตัดสินใจในธุรกิจ รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาในระบบธุรกิจและวางแผน จัดการระบบโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตอบปัญหานั้น ๆ 

     ส่วน Software Engineering จะเน้นเรื่องการออกแบบ วางแผนและพัฒนาซอฟท์แวร์หรือระบบต่าง ๆ ค่ะ

     และอันสุดท้าย อันนี้เป็นน้องใหม่สุดคือทางด้าน Cyber Security โดยจะเป็นการวิเคราะห์จุดอ่อนของระบบ การป้องกันความปลอดภัย และปกป้องความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลค่ะ 

     Thaiwahclub : การเรียนการสอนที่ไทยและออสเตรเลียมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ

     การเรียนการสอนที่ไทยนั้น ในระดับปริญญาตรีเราจะต้องเรียน General education ก่อนซึ่งรวมทุกอย่างจนถึงพละศึกษาในช่วงเวลา 2 ปีแรก แต่ที่ออสเตรเลียก็จะลุยไปในการศึกษาเฉพาะทางนั้น ๆ เลยตั้งแต่เทอมแรกค่ะ ทำให้การศึกษาปริญญาตรีที่ออสเตรเลียใช้เวลาแค่ 3 ปีแต่เมื่อเทียบกับที่ประเทศไทยนั้นใช้เวลาถึง 4 ปี

     ส่วนใหญ่ในชั้นเรียนที่ออสเตรเลียจะไม่ใช่เป็นอาจารย์ที่เป็นฝ่ายพูดซะส่วนใหญ่ แต่เป็นนักศึกษาที่พูดหรือปรึกษากันค่ะ เพราะว่าการเรียนรู้นั้นสามารถทำได้โดยการอ่าน การดู การฟัง การลงมือทำ และอื่น ๆ ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเองค่ะว่าวิธีไหนได้ผลสูงสุดกับตัวเรา ในชั้นเรียนเด็กเล็กที่ออสเตรเลียนั้น ในการสอนแต่ละอย่างอาจจะใช้ถึง 5 วิธีในการเรียนรู้ทีเดียว เช่น การร้องเพลง การทำตาม เป็นต้น 

     นอกจากนั้นการเรียนการสอนในออสเตรเลียจะเน้นให้นักศึกษาลงมือทำเป็นส่วนใหญ่ โดยทฤษฎีนั้น ไม่ถือว่ามีความจำเป็นเท่าการลงมือทำ เพราะทฤษฎีอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อมค่ะ 

     สมัยที่สอนอยู่ที่ประเทศไทยนี่จะเห็นนักศึกษาบางคนน่ากลัวมากค่ะ เค้าสามารถท่องจำข้อมูลได้เป็นหน้า ๆ โดยสามารถเขียนได้เป็นคำต่อคำเลยค่ะ แต่ตอนนั้นก็นานมาแล้วนะคะ ซึ่งคาดว่าเวลานี้คงได้เปลี่ยนไปแล้ว  

     นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ออสเตรเลียก็จะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ทำให้ความคิดความอ่านค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเล็กน้อยนะคะ และก็ความศรัทธาและเคารพอาจารย์ที่ประเทศไทย และแม้กระทั่งที่ RMIT ที่เวียดนามก็จะมากกว่าเยอะน่ะค่ะ ซึ่งเชอรี่คิดว่าดีมากนะคะ แต่ว่าไม่อยากให้ถึงขั้นที่นักศึกษาเข้าใจว่าคำพูดและการสอนของอาจารย์นั้นศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีข้อโต้แย้งค่ะ 

     เพราะว่าข้อนี้เนี่ยอาจจะทำให้นักศึกษาลดความเป็นตัวของตัวเองและอาจจะสูญเสียความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองไป อยากให้นักศึกษาสามารถค้นหาเหตุผลของตนเอง ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่อาจารย์สอนไป แต่ก็จะทำให้เข้าใจได้ถ่องแท้ขึ้น และอาจจะเป็นการต่อยอดไปถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ค่ะ อยากให้นักศึกษาไทยมั่นใจในตัวเองมากขึ้นค่ะ 

     อาจารย์ที่ออสเตรเลียจะมีเวลาว่างมากกว่าอาจารย์ที่ไทย เพราะอาจารย์ที่ไทยต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่วางแผนการสอน การลงมือสอน คุมการสอบ ตรวจข้อสอบ ไหนจะต้องทำการวิจัยอีก และจำนวนนักศึกษาก็มากจริง ๆ ในบางวิชาค่ะ แต่ว่าอาจารย์ที่ออสเตรเลียจะมีผู้ช่วยเป็นติวเตอร์ คอยช่วยตอบคำถามนักศึกษาและก็ตรวจการบ้านด้วยค่ะ 

     Thaiwahclub : หากต้องการมาทำงานสอนที่ออสเตรเลียเหมือนอาจารย์บ้าง จะมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ

     หากมีใครอยากสมัครเป็นอาจารย์ที่ออสเตรเลียในอนาคตนะคะ ก็อยากจะให้ศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกในด้านที่ต้องการจะสอน และหาประสบการณ์ในการสอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ 

     ขณะเดียวกันก็อยากให้ฝึกภาษาอังกฤษให้มาก ๆ และเทคนิคในการนำเสนอนี่สำคัญมากเลยค่ะ ตอนสมัครสอนที่ RMIT ที่เวียดนามจะต้องยื่นผล Academic IELTS ที่มีคะแนน 7.5 ขึ้นไปโดยที่ไม่มีแบนด์ไหนที่ต่ำกว่า 7.0 ค่ะ

     นอกจากนี้วุฒิที่ได้มาก็จะต้องนำไปรับรองที่กพ. แปลเป็นภาษาอังกฤษและก็รับรองเอกสารที่กระทรวงการต่างประเทศด้วยค่ะ ซึ่งข้อนี้อาจจะทำไว้ได้เลยตอนว่างๆ น่ะค่ะ เพราะใช้เวลาเหมือนกัน

     อาจารย์ท่านใดสนใจที่จะมาทำงานสอนที่ออสเตรเลียก็จะแนะนำให้ตีพิมพ์ผลงานด้านการวิจัย โดยเฉพาะ Journal โดยอาจจะเช็ค Journal ที่อยู่ใน Q1 หรือ Q2 โดยการประเมินจาก Scimago หรือจาก Excellence in Research for Australia 

     ที่เหลือจะต้องเช็คจากสถาบันที่ต้องการสมัครค่ะ ว่าต้องการ Police Clearance ผลการตรวจสุขภาพและอื่น ๆ ซึ่งแต่ละที่อาจจะไม่เหมือนกันค่ะ

     Thaiwahclub : หลังจากที่ได้อาศัยอยู่ในเมือง Darwin มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษในเมืองนี้ที่หาจากที่อื่นไม่ได้บ้างไหมคะ

     ตอนที่มาดาร์วินครั้งแรก ยังไม่รู้จักเลยค่ะว่าอยู่ตรงไหน ฮ่าๆๆ และค่อนข้างกังวลนิดหน่อยเพราะเวลาพูดถึงออสเตรเลีย เราก็มักจะคิดถึงซิดนีย์ เมลเบิร์น เพิร์ธ อะไรแบบนี้ใช่ไหมคะ ก่อนมาบางคนก็บอกว่าโอ้โห ดาร์วินกันดารมากนะ 

     แต่พอมาถึงจริงกลับเป็นเมืองที่น่าอยู่เพราะว่าสงบเงียบ ปลอดภัย ไม่เคยมีรถติดเลยค่ะ นอกจากนี้ก็ยังอยู่ติดทะเลในหลาย ๆ ส่วน 

     แคมปัสที่ในตัวเมืองก็สามารถเห็นวิวทะเลจากห้องเรียนได้เลย อากาศค่อนข้างคล้ายกับกรุงเทพฯ คือมีฤดูร้อน ฤดูหนาว และฤดูฝนค่ะ 

     นอกจากนี้วัตถุดิบในการทำอาหารไทยก็หาง่ายและปลูกเองได้ด้วย เนื่องจากสภาพอากาศใกล้เคียงกัน วัตถุดิบยังหาได้ง่ายกว่าตอนอยู่โฮจิมินห์ด้วยซ้ำ ค่าครองชีพเมื่อเทียบกับรัฐอื่นแล้วถูกกว่ามากโดยเฉพาะค่าเช่าบ้าน 

     ที่นี่มีวัดไทยสองที่ด้วยนะคะ มีวัดป่าดาร์วินเมตตาราม แล้วก็มีวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนค่ะ

     การแต่งตัวของคนที่นี่ก็จะค่อนข้างสบาย ๆ อาจารย์ยังใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะมาสอนก็มีนะคะ ทำให้รู้สึกคล้าย ๆ บรรยากาศที่ฮาวายน่ะคะ แต่สำหรับคนที่ชอบเที่ยวกลางคืนหรือช็อปปิ้งบ่อย ๆ อาจจะไม่ค่อยชอบเพราะที่นี่ตอนกลางคืนเงียบมากเลยค่ะ

     ที่ดาร์วินเนี่ยเป็นจุดที่ใกล้เอเชียที่สุดของออสเตรเลียค่ะ แล้วก็เนื่องจากนับว่าเป็นเขต Rural area ของออสเตรเลีย ก็เลยทำให้หางานได้ง่าย แล้วก็นักศึกษาที่เรียนจบที่นี่ก็จะได้คะแนนเพิ่มในการสมัครวีซ่า 190 (Permanent Residence) เพิ่มอีก 5 คะแนนซึ่งเป็นคะแนนได้เปล่าอีกด้วยค่ะ 

     Thaiwahclub : แล้วอะไรที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคสำหรับการย้ายมาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียบ้างคะ

     ปัญหาที่พบคือคิดถึงครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่อยู่ประเทศไทยค่ะ ฮ่าๆๆ นอกจากนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย คนที่นี่ก็ค่อนข้างจะเป็นมิตรและก็ชอบช่วยเหลือด้วยค่ะ  

     ตอนแรกนี่เป็นกังวลเล็กน้อยเรื่องเอาหยูกยา เช่นเดี๋ยวจะลำบากในการหายาปฏิชีวนะไหมนะ ถ้าไม่สบายจะทำยังไง ปรากฏว่าจริง ๆ แล้ว เมื่อนักศึกษามาเรียนที่ออสเตรเลียจะต้องทำประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ (Overseas Student Health Cover) อยู่แล้ว 

     ซึ่งด้วยบัตรประกันสุขภาพนั้นสามารถใช้เข้า-ออกคลินิก หรือโรงพยาบาลของรัฐได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเมื่อคุณหมอ (GP) สั่งยาให้แล้วก็ไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยาเท่านั้น ไม่ได้ลำบากเหมือนที่คิดเอาไว้เลยค่ะ และยาบางตัวก็ถูกกว่าซื้อที่ประเทศไทยด้วยซ้ำ 

     ก็อยากจะฝากนักศึกษาว่าไม่ต้องขนยามานะคะ เพราะเคยเห็นเด็กบางคนโดนตรวจที่สนามบินก็จะโดนถามต่าง ๆ นา ๆ เป็นเวลานานเลยค่ะ แต่ละคนก็ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งซะด้วย

     ส่วนที่เป็นปัญหาเฉพาะตอนนี้ก็คือค่าเงินตกค่ะ (เป็นปัญหาสำหรับเชอรี่ แต่สำหรับนักศึกษาไทยจะถือเป็นเรื่องดี)

     Thaiwahclub : สุดท้ายช่วยฝากคำแนะนำถึงคนที่อยากมาเรียนต่อที่ออสเตรเลียหรือที่ Charles Darwin University สักหน่อยค่ะ

     อยากแนะนำให้นักศึกษาฝึกภาษาอังกฤษให้มาก ๆ นะคะ เพราะว่ามันจะช่วยให้โอกาสในการศึกษาและการหางานค่ะ โดยเฉพาะถ้าได้ภาษาที่ 3 เช่นภาษาจีนกลางนี่จะยิ่งดี ที่โรงเรียนประถมในออสเตรเลียจะมีการสอนภาษาจีนและอินโดนีเซียในหลักสูตรเลยค่ะ

     นอกจากนี้ก็อยากให้ทำความเข้าใจกับการเลือกวิชา โดยเช็คว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะทำงานเกี่ยวกับอะไร ทางด้านไหน และความชอบของตนเองคืออะไรค่ะ อยากให้นักศึกษาเรียนในวิชาที่เลือกเอง ไม่ใช่ที่คุณพ่อคุณแม่หรือครอบครัวเลือกให้  

     นักศึกษาต้องเช็คเรื่องวีซ่าให้เรียบร้อยก่อนด้วยนะคะ ส่วนใหญ่คือจะต้องสมัครเรียนให้เรียบร้อยก่อน พอมหาวิทยาลัยตอบรับจะได้มีเอกสารไว้พร้อมนะคะ ขอให้โชคดีทุกคนค่ะ 🙂

     สนใจข้อมูลศึกษาต่อที่เมือง Darwin ประเทศออสเตรเลีย สามารถขอคำปรึกษากับทีม Beyond Study ก่อนได้ทาง

  • LINE ID : @beyondstudy 
  • เบอร์โทร Bangkok Office : 086-011-2378 และ 02-019-0884 ภายในเวลาทำการ (Mon-Fri : 09.00-18.00)
  • เบอร์โทร Melbourne Office : 03-8648-6594 และ 04-6699-2864 ภายในเวลาทำการ (Mon-Fri : 10.00-18.00)
  • เบอร์โทร Sydney Office : 02-8034-0098 และ 04-3599-6492 ภายในเวลาทำการ (Mon-Fri : 10.00-18.00)